กราฟราคาที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคปัจจุบันที่นิยมใช้กันคือ กราฟแท่งเทียน (Candlesticks) กราฟเส้น (Line Chart) และ กราฟแท่ง (Bar Chart) ซึ่งกราฟที่นิยมมากสุดคือกราฟแท่งเทียนเนื่องจากสามารถบอกรายละเอียดข้อมูลตามช่วงเวลา (Period) ที่เลือกได้อย่างชัดเจน จากการใช้สีกำกับว่าช่วงเวลานั้นราคาสูงขึ้นเป็นตลาดกระทิง หรือราคาต่ำลงเป็นตลาดหมี โดยหากราคาปิดอยู่สูงกว่าราคาเปิดจะแสดงสีแท่งกราฟสีเขียว และหากราคาปิดอยู่ต่ำกว่าราคาเปิดจะแสดงสีแท่งกราฟเป็นสีแดง
องค์ประกอบของกราฟแท่งเทียนจะประกอบด้วย เนื้อเทียน และไส้เทียน
กรณีแท่งเทียนสีเขียว (ตลาดกระทิง - ราคาสูงขึ้น)
เนื้อเทียนด้านล่าง - แสดงถึงราคา “เปิด” (Open Price) ของแท่งเทียนนั้น
เนื้อเทียนด้านบน - แสดงถึงราคา “ปิด” (Close Price) ของแท่งเทียนนั้น
ไส้เทียนด้านล่าง - แสดงถึงจุด “ต่ำสุด” (Low Price) ของราคาในแท่งเทียนนั้น
ไส้เทียนด้านบน - แสดงถึงจุด “สูงสุด” (High Price) ของราคาในแท่งเทียนนั้น
กรณีแท่งเทียนสีแดง (ตลาดหมี - ราคาต่ำลง)
เนื้อเทียนด้านบน - แสดงถึงราคา “เปิด” (Open Price) ของแท่งเทียนนั้น
เนื้อเทียนด้านล่าง - แสดงถึงราคา “ปิด” (Close Price) ของแท่งเทียนนั้น
ไส้เทียนด้านล่าง - แสดงถึงจุด “ต่ำสุด” (Low Price) ของราคาในแท่งเทียนนั้น
ไส้เทียนด้านบน - แสดงถึงจุด “สูงสุด” (High Price) ของราคาในแท่งเทียนนั้น
การหาแนวโน้มด้วยเครื่องมือทางเทคนิค
แนวโน้มมักจะเป็นสิ่งแรกที่ผู้วิเคราะห์ทางเทคนิคมองหา เพราะจะทำให้ผู้วิเคราะห์สามารถกำหนดกลยุทธ์หลักในการลงทุนได้อย่างถูกต้อง เช่น ถ้าทราบว่าปัจจุบันราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น กลยุทธ์หลักในการลงทุนก็จะเน้นไปที่การซื้อ (Long) ในทางตรงกันข้ามถ้าทราบว่าปัจจุบันแนวโน้มเป็นขาลงทุนกลยุทธ์หลักก็จะเน้นไปที่ฝั่งขาย (Short) โดยหนึ่งแนวคิดสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือ “ราคาจะเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มเดิมสักระยะหนึ่ง จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มใหม่” โดยมองว่าประวัติศาสตร์สามารถซ้ำรอยเดิมได้
แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)
องค์ประกอบสำคัญของแนวโน้มขาขึ้นคือ จุดสูงสุดจะยกสูงขึ้นเรื่อย ๆ และจุดต่ำสุดก็จะยกสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน (Higher High - Higher Low)
แนวโน้มขาลง (Downtrend)
องค์ประกอบสำคัญของแนวโน้มขาลงคือ จุดสูงสุดจะลดต่ำลงเรื่อย ๆ และจุดต่ำสุดก็จะลดต่ำลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน (Lower High - Lower Low)
ไม่มีแนวโน้ม(Sideway)
ในช่วงที่ราคาไม่มีแนวโน้มลักษณะราคาจะเคลื่อนไหวขนานไปกับแกนของเวลา คือขึ้น หรือลงสลับกันไปแต่อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับจุดสูงสุด และจุดต่ำสุดเดิม
การประเมินแนวโน้ม (Trend) ผู้ลงทุนอาจจะต้องประเมินเรื่องกรอบเวลาประกอบไปด้วย เพราะแนวโน้มมักถูกจัดแบ่งเป็น
การเลือกวิเคราะห์ทางเทคนิคโดยใช้เทรนด์จึงควรเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะในการเทรดของแต่ละท่าน
การหาแนวรับ แนวต้าน ด้วยปัจจัยทางเทคนิค
แนวรับ แนวต้าน หรือจุดที่มักจะมีแรงซื้อหรือแรงขายจำนวนมาก ทำให้ราคาไม่สามารถผ่านระดับนั้น ๆ ไปได้ง่าย แต่ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านไปได้ (Break) ก็มักจะมีการขึ้นหรือลงสูงกว่าระดับปกติ โดยการหาแนวรับ แนวต้านด้วยปัจจัยทางเทคนิคอาจจะทำให้หลายวิธีขึ้นอยู่กับผู้ลงทุนจะเลือกใช้
การหาจุดซื้อ จุดขาย ด้วยปัจจัยทางเทคนิค
สำหรับการหาจุดซื้อขาย มีหลากหลายเครื่องมือทางเทคนิคที่สามารถนำมาใช้หาจุดซื้อ จุดขาย ทั้งที่เป็นการอ่านสัญญาณตรง ๆ ด้วยเครื่องมือที่ให้ Buy Sell Signal เช่น MACD, Moving Average, Stochastic ฯลฯ หรือการอ่านสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม จากราคาที่พุ่งผ่านแนวต้านหรือราคาร่วงหลุดแนวรับ ขึ้นอยู่กับผู้ลงทุนเลือกใช้
การหาสัญญาณการกลับตัวด้วยปัจจัยทางเทคนิค
โดยทั่วไปราคาสินทรัพย์มักจะเคลื่อนไหวขึ้นลงลักษณะแบบลูกคลื่น หรือมีการขึ้นลงสลับกัน ดังนั้นหนึ่งสัญญาณสำคัญที่มีผลต่อกลยุทธ์การซื้อขายคือ “การหาสัญญาณการกลับตัวของราคา” ซึ่งมีเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการหาสัญญาณการกลับตัวอยู่หลากหลายเช่นกัน ทั้งที่สื่อตรง ๆ อย่างการเกิด Bullish Divergence - Bearish Divergence ที่แรงซื้อแรงขายยังรุนแรงแต่เริ่มขัดแย้งกับเครื่องมือทางเทคนิคที่แผ่วลง, การเกิด Reversal Patterns ที่ดูการฟอร์มตัวของกราฟแท่งเทียน โดยใช้แรงซื้อแรงขายประกอบเพื่อดูจุดกลับตัว รวมถึงสัญญาณเตือนให้ระมัดระวังต่าง ๆ เช่น การเกิดสัญญาณ Overbought หรือ Oversold ที่บ่งบอกถืงแรงซื้อแรงขายที่มากเกินปกติ เป็นต้น ซึ่งผู้ลงทุนสามารถเลือกใช้ได้ตามเหมาะสม
เครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่สามารถใช้ประกอบการตัดสินใจ หาจังหวะลงทุนระยะสั้นสามารถปรับแต่งและมีความยืดหยุ่นในการใช้เครื่องมือสูง จึงเหมาะที่ผู้ลงทุนจะศึกษาไว้เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน