สนามใหม่ของเทรดเดอร์สายกราฟ ตลาดขาไหนก็เทรดได้
จุดแข็งของ “สายเทรดเดอร์” ส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น คือ การมีความสามารถในการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ บวกกับทักษะและประสบการณ์การวิเคราะห์ราคาตลาดหุ้นด้วยการดูกราฟ ที่รู้ว่าจังหวะไหนต้องซื้อหรือต้องขาย แต่โอกาสในการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งเหล่านี้กลับมีข้อจำกัด ในช่วงที่ตลาดกำลังเข้าสู่เทรนด์ขาลง
ความท้าทายต่อการเอาตัวรอดจากตลาดของเทรดเดอร์ จึงเกิดความกดดันที่สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงแม้จะมีทักษะการอ่านกราฟที่ดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่โอกาสในการทำกำไรในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ยังคงเป็นเรื่องยากกับเทรดเดอร์อยู่ไม่น้อย
ยิ่งเมื่อตลาดซึมอย่างต่อเนื่อง ก็ย่อมถึงเวลาที่เราควรจะมองหาโอกาสใหม่ เพื่อรักษาโอกาสในการลงทุนไม่ให้สูญเปล่า และสนามแห่งใหม่ในการลงทุน ที่เทรดเดอร์จากตลาดหุ้นไม่ควรมองข้าม นั่นคือ “ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า” หรือ TFEX (Thailand Futures Exchange) ที่เปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ได้ใช้ทักษะที่มีอยู่ มาทำกำไรได้ทั้งในช่วงตลาดขาขึ้น และขาลง
สินค้าในตลาด TFEX มีหลายประเภท สินค้าบางตัวเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นในช่วงกลางวัน เช่น SET50 Futures ที่ราคาอ้างอิงดัชนี SET50 หรือ USDJPY Futures ที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์ต่อเยน ในขณะที่สินค้าบางตัวมักเคลื่อนไหวตามปัจจัยต่างประเทศในช่วงกลางคืน เช่น Gold Online Futures ที่อ้างอิงราคาทองคำโลก หรือ EURUSD Futures ที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนยูโรต่อดอลลาร์
ซึ่งหากเราสามารถใช้ความเชี่ยวชาญในการอ่านกราฟ เพื่อคาดการณ์ทิศทางของสินทรัพย์ที่หลากหลายเหล่านี้ได้ ก็จะทำให้เทรดเดอร์มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนทุกภาวะของตลาดได้เสมอ ไม่ต้องรอหุ้นขาขึ้นอย่างเดียว ขาลงก็ทำกำไรได้ หรือถ้าหุ้นไม่วิ่ง ก็ยังมีทองคำหรือค่าเงินให้เทรดได้เพิ่มเติม
สิ่งสำคัญมากกว่านั้นที่เทรดเดอร์จะได้ประโยชน์จากการใช้ TFEX ก็คือ การใช้ “อัตราทด” หรือที่รู้จักกันว่า Leverage ซึ่งเป็นตัวคูณที่ช่วยให้เราสามารถเปิดสถานะการเทรด ที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินที่เรามีอยู่จริงได้หลายเท่า ส่งผลให้มีโอกาสในการทำกำไรเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นว่าการทำงานของ Leverage นั้นเป็นอย่างไร และเพิ่มโอกาสในการสร้างกำไรได้จริงหรือเราขอยกตัวอย่าง…กรณีที่ต้องการเทรด SET50 Index Futures ซึ่งกำหนดให้วางเงินหลักประกัน 10,000 บาทต่อสัญญา โดย 1 สัญญามีมูลค่า 200,000 บาท แบบนี้ถือว่ามี Leverage ถึง 20 เท่า
ซึ่งหากเราต้องการเทรด จำนวน 5 สัญญา เราจะต้องวางเงินหลักประกันอยู่ที่ 50,000 บาท (10,000 บาทต่อสัญญา x 5 สัญญา) มูลค่าสัญญาที่เราจะสามารถเทรดได้ หรือเปิดสถานะการเทรดได้ ก็จะมีมูลค่าสูงถึง 1,000,000 บาท (200,000 บาทต่อสัญญา x 5 สัญญา)
โดยหากดัชนี SET50 เพิ่มขึ้น 1% เราก็จะได้กำไร 1% ของ 200,000 บาท ก็คือ 2,000 บาท ซึ่งหากเราถือ 5 สัญญา กำไรทั้งหมดก็จะเป็น 2,000 บาท x 5 สัญญา = 10,000 บาท หรือคิดเป็น 20% ของเงินลงทุนเริ่มต้นที่เราใส่ไปนั่นเอง ซึ่งนี่คือโอกาสสร้างผลตอบแทนที่เหล่าเทรดเดอร์จะได้รับจากการเข้ามาในสนามแห่งนี้
[Note : Futures เป็นสัญญาซื้อขายที่ผู้ลงทุนสามารถ “ซื้อ” (Long) หรือ “ขาย” (Short) สินค้าอ้างอิงในอนาคตที่ระดับราคาปัจจุบัน
- อธิบายง่าย ๆ ก็คือ กรณีที่คาดว่าราคาสินค้าจะปรับตัวสูงขึ้น เราจะทำสัญญาซื้อก่อนที่ราคาปัจจุบัน (Long Futures) เมื่อราคาขึ้นแล้วจึงขายในอนาคต (ซื้อถูกก่อน แล้วขายแพง)
- หรืออีกกรณีคือ คาดว่าราคาสินค้าจะปรับตัวลดลง เราก็จะทำสัญญาขายก่อนที่ราคาปัจจุบัน (Short Futures) และซื้อคืนเมื่อราคาปรับตัวลดลงมาในอนาคต (ขายแพงก่อน แล้วซื้อกลับถูก)]
นอกจาก TFEX จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้เทรดเดอร์ได้แล้ว อีกกลไกหนึ่งที่ TFEX เข้ามาช่วยบริหารความเสี่ยงให้กับเทรดเดอร์ได้ ก็คือ ระบบ Margin Call หรือ Force Margin ที่เข้ามาช่วยป้องกันไม่ให้ขาดทุนเกินกว่าเงินที่วางเป็นหลักประกัน ทำให้เทรดเดอร์สามารถควบคุมความเสี่ยงได้ดีกว่าการกู้มาร์จินในตลาดหุ้นนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การใช้ TFEX ในการทำกำไรด้วยกราฟมักมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูง เทรดเดอร์จึงควรมีกลยุทธ์ และกำหนดจุดเข้า-จุดออก ไว้อย่างชัดเจน รวมถึงมีความรู้และทักษะด้าน Money Management เพื่อบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนให้เป็นไปตามแผนการที่วางไว้ในทุกภาวะของตลาด เพื่อรักษาและต่อยอดโอกาสแห่งความสำเร็จในโลกแห่งการลงทุนนั่นเอง
ถึงเวลาแล้วที่จะก้าวออกจาก Comfort Zone และเปิดประตูสู่โลกใบใหม่ เพียงแค่คุณกล้าที่จะก้าวเข้าไปเรียนรู้และลองเล่นในสนามใหม่นี้ เท่านี้ก็ยกระดับโอกาสในการทำกำไรด้วยการเทรดของคุณได้ไปอีกขั้น
ติดตาม ประสบการณ์เทรดของสายอ่านกราฟ กับเทรดเดอร์ตัวจริง ในรูปแบบ Video ได้แล้วที่ https://www.tfex.co.th/th/education/knowledge/firststeptotfex