โดยทีม TFEX Business จาก Finansia Syrus
เชื่อว่ากิจกรรมหลักที่ผู้ลงทุนใน TFEX จะต้องเจอแน่ ๆ และเป็นประเด็นที่ผู้ลงทุนที่ไม่เคยเทรดใน TFEX มาก่อนมักจะถูกขู่ให้กลัว ก็คือเรื่องของกระบวนการถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Cal) หรือ ที่เรียกเป็นภาษา ชาวบ้านว่า “เติมเงิน” ซึ่งกิจกรรมนี้จะเกิดขึ้นในกรณีที่การเทรด Futures เกิดผลขาดทุนขึ้นระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าผู้ลงทุน อยากถือสัญญาใน TFEX ต่อไปจะต้องเอาเงินมาวางเพิ่มเติม และถ้าหากไม่มีเงินมาเติมหรือเอาเงินมาเติมไม่ทัน ตามเกณฑ์ที่กำหนด ก็จะถูกเข้าสู่กระบวนการบังคับล้างสถานะ (Force Close) นั่นเอง
สำหรับบทความนี้จะมีเนื้อหาที่ให้แนวคิดเกี่ยวกับการวางแผนเทรดใน TFEX ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ลงทุนที่ สนใจเทรดสินค้าใน TFEX ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการ “เติมเงิน” อีก
ถ้าเงินที่เหลือต่ำกว่าระดับ MM จะต้อง “เติมเงิน”
การปรับตัวขึ้นลงของราคา Futures จะส่งผลให้ผู้ถือสัญญา Futures เกิดผลกําไรหรือขาดทุนขึ้น กรณีที่ผู้ ลงทุนใน Futures มีสถานะเป็นกําไร ยอดของกําไรจะถูกนําไปบวกเพิ่มกับเงินที่เอาที่วางไว้ตอนแรก ส่งผลให้ผู้ ลงทุนมีเงินในบัญชีเพิ่มขึ้น แต่ถ้ามีสถานะเป็นขาดทุน ยอดขาดทุนก็จะถูกนําไปลบออกจากเงินที่วางไว้ตอนแรก เช่นกัน ส่งผลให้ผู้ลงทุนเหลือเงินในบัญชีลดลง
ถ้าคนที่ถือสัญญา Futures เกิดผลขาดทุนเกิดจนทำให้เงินในบัญชีลดต่ำลงกว่าระดับที่เรียกว่า “เงิน ประกันขั้นต่ำ” (Maintenance Margin : MM) ผู้ลงทุนจะต้องเข้าสู่กระบวนการเรียกหลักประกัน (Margin Call) โดย นําเงินมาเติมให้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยเท่ากับระดับหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin: IM) ซึ่งผู้ลงทุนมีหน้าที่ต้องเติม เงินให้ครบจำนวนและทันเวลาตามที่โบรกเกอร์กำหนด หากผู้ลงทุนไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ Margin Call ผู้ลงทุนรายนั้นก็จะต้องเข้ากระบวนการบังคับล้างสถานะ (Force Close)
วางเงินเพื่อผลขาดทุนไว้ล่วงหน้า ยังไงก็ไม่มีต่ำกว่า MM แน่นอน
หลังจากที่เรารู้กลไกแล้วว่าเราจะโดนเรียก “เติมเงิน” เมื่อเข้าเงื่อนไขอะไร ดังนั้นสิ่งที่ควรเตรียมตัวไว้ ล่วงหน้า คือ วางเงินเพื่อส่วนของขาดทุนไว้ตั้งแต่แรก โดยใช้แนวคิดของ Stop Loss เข้ามาประยุกต์ร่วมด้วย
สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการซื้อขาย Futures ให้สบายใจแบบไม่ต้องกังวลกับกระบวนการ “เติมเงิน” (Margin Cal) ควรวางเงินสำหรับการซื้อขาย Futures ให้ครอบคลุมผลขาดทุนที่จะเกิดขึ้นไว้ตั้งแต่เริ่มต้นก่อนลงมือซื้อขาย โดยข้อมูลที่ต้องการสำหรับการวางแผนในการเตรียมเงินต่อ 1 สัญญาสำหรับการซื้อขาย Futures มีทั้งหมด 4 อย่าง ได้แก่
1) ราคาที่เข้าทำสัญญา
2) ราคาสำหรับการตัดขาดทุน
3) ขนาดของสัญญา Futures และ
4) ระดับเงินประกันขั้นต้น (MM) ต่อสัญญา
ตัวอย่างเช่น ผู้ลงทุนต้องการทำสัญญาซื้อ SET50 Index Futures ที่ราคาปัจจุบัน 1,100 จุด และได้ กำหนดระดับราคาสำหรับตัดขาดทุนไว้ที่ 1,070 จุด (ถ้าขาดทุน 30 จุดจะทำการล้างสถานะเพื่อตัดขาดทุนทันที) โดยสัญญา SET50 Index Futures มีตัวคูณดัชนีเท่ากับ 200 ดังนั้นมูลค่าสัญญาจะเท่ากับ 1,100 จุด x 200 = 220,000 บาท ในกรณีที่ผู้ลงทุนต้องตัดขาดทุนจะเกิดผลขาดทุน = (1,070-1,100) x 200 = 6,000 บาท ต่อสัญญา
ปัจจุบันระดับเงินประกันขั้นต่ำ (MM) ของ SET50 Index Futures อยู่ที่ 4,750 บาทต่อสัญญา (ข้อมูล ณ วันที่ 20 กันยายน 2560) จากข้อมูลข้างต้นผู้ลงทุนที่ต้องการซื้อขาย SET50 Index Futures โดยไม่ต้องกังวลกับ กระบวนการ Margin Call จะต้องเตรียมเงินอย่างน้อยเท่ากับ ระดับเงินประกันขั้นต่ำบวกกับผลของขาดทุนกรณีที่ ต้องตัดขาดทุน คือ 4,750 + 6,000 = 10,750 บาท ต่อสัญญานั่นเอง
เทรดสบายใจ แถมถูกหลักการ Money Management อีกด้วย
จะเห็นได้ว่าข้อดีของการเตรียมเงินสำหรับซื้อขาย Futures นั้นเราต้องการข้อมูลระดับราคาสำหรับการตัด ขาดทุน จึงทำให้ผู้ลงทุนต้องมีการวางแผนกำหนดระดับราคาตัดขาดทุนไว้ล่วงหน้าเสมอก่อนลงมือซื้อขาย ซึ่งการ วางแผนตัดขาดทุนนี้เป็นข้อแนะนําลำดับต้น ๆ ที่มีความสำคัญในกระบวนการบริหารความเสี่ยงและเงินลงทุน (Money Management) อีกด้วย การใช้แนวคิดเตรียมเงินในการเทรด Futures แบบนี้จึงเรียกได้ว่า “เทรดสบายใจ แถมถูกหลักการ Money Management อีกด้วย”