ตอนที่ #5 ออกแบบกลยุทธ์ Options
เมื่อพูดถึงการเทรด Options ก็จะนึกถึง การเปิดสถานะ Long หรือ Short โดยใช้ทิศทางราคาในการตัดสินใจ โดยฝั่ง Long มีโอกาสชนะยากกว่า แต่หากชนะก็จะได้อัตราผลกำไรมากหรือน้อยตามความแรงของตลาด ส่วนฝั่ง Short จะมีโอกาสชนะได้ง่ายกว่า แต่หากแพ้หรือผิดทางก็อาจจะเสียหายได้เยอะ จนอาจโดนเรียกหลักประกันเพิ่มหรือโดนปิดสถานะ แต่ไม่ว่าจะตัดสินใจใช้กลยุทธ์ไหน โอกาสดีๆ ก็มีไว้ให้คุณ "เลือก" เสมอ
ดังนั้นถึงเวลาเรียนรู้กลยุทธ์ต่างๆ ของ Options เพิ่มเติมแล้ว ว่านอกจากการเปิดสถานะฝั่ง Long หรือ Short ขาเดียว เราสามารถทำกลยุทธ์อะไรได้บ้างเพื่อสร้างโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น โดยก่อนอื่นต้องเริ่มสังเกตปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อราคา Options ดังต่อไปนี้
1.View : แนวโน้มตลาด
ต้องสังเกตว่าปัจจุบันตลาดมีแนวโน้มอย่างไรก่อน โดยพิจารณาจากภาพใหญ่ไปที่ภาพย่อยว่าแนวโน้มตลาดเป็นขาขึ้นหรือขาลง จากนั้นจึงวางแผนในการเข้าสถานะรวมถึงการกำหนดจุด Stop Loss ที่ชัดเจน และทำให้ได้ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งไม่มีใครคาดการณ์อนาคตได้ การทำตามแผนที่วางไว้นั้นก็เหมือนกับเราจำกัดความเสี่ยงที่ยังมองไม่เห็นลงได้ ซึ่งการลงทุนในแต่ละครั้งเราผิดพลาดได้ ให้มองเป็นการยอมเสียบางส่วน เพราะไม่มีใครที่ชนะได้ทุกครั้ง
2.Volatility : ความผันผวน
การที่ Options มีปัจจัยต่างๆ เหมือนกันแต่มีราคาเหมาะสมที่ "ไม่เท่ากัน" นั่นเป็นเพราะมี Implied Volatility ที่ไม่เท่ากัน ซึ่งค่าตัวแปรนี้จะเป็นตัวบอกว่า เวลาทำการซื้อขายเราได้เปรียบหรือไม่ หากต้องการ Long ควรดูจังหวะที่ Volatility เยอะจะได้เปรียบ ส่วนฝั่ง Short ก็พิจารณาว่า Volatility น้อยหรือไม่ เพื่อให้ได้ประโยชน์จาก Time Decay
3.Time : เวลาที่เหลือ
อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่า Options มี Time Decay ซึ่งหมายความว่า Options จะมีมูลค่าลดลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาจาก Time Decay ในฝั่ง Long จะไม่แนะนำให้ซื้อตัวที่มีอายุเหลือน้อยเกินไปนัก เพราะจะทำให้เราเหลือเวลาในการใช้สิทธิ์จำกัดมาก ควรประเมินจากแนวโน้มและปัจจัยอื่นประกอบว่าขาขึ้นหรือขาลงรอบนี้จะสามารถเอาชนะ Time Decay ที่เหลืออยู่ได้หรือไม่ ส่วนฝั่ง Short นั้นจะตรงกันข้าม คือจะได้ประโยชน์จาก Time Decay และไม่ต้องการให้ถูกใช้สิทธิ์
กลยุทธ์ฝั่ง Bullish Strategies ที่แนะนำ
Long Call ATM + Short Call OTM ที่ไกลออกไป เพื่อเป็นการชดเชยค่า Premium ที่เราจ่ายฝั่ง Long และเป็นการลดต้นทุนในการลุ้นแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งถ้าหากถูกทางเป็นทิศทางขึ้นจริง ค่า Delta ของ Long Call ATM จะวิ่งเร็วมากกว่า Short Call OTM แต่กลยุทธ์แบบนี้จะจำกัดทั้งความเสี่ยงและจำกัดกำไรด้วย ซึ่งการที่เราจำกัดความเสี่ยงได้ ก็ถือเป็นอีกแนวคิดหนึ่งในการเทรด ที่จะทำให้เราอยู่รอดได้ในตลาด และรู้ว่าตรงไหนจะเป็นความเสียหายสูงสุด
หากปรับเป็น Long Call + Short Put จะดีไหม ?
กลยุทธ์นี้จะเป็นการเก็งขาขึ้นทั้งสองขาเป็นการเพิ่ม Delta ซึ่งไม่จำกัดกำไรและไม่จำกัดขาดทุน ลักษณะจะคล้ายๆ การเทรด Futures ที่ลุ้นแนวโน้มขาขึ้น โดยหากผิดทางก็จะเสียหายทั้งสองขาไม่มีตัวช่วยในการลดความเสี่ยง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นเราควรหาตัวช่วยในการลดความเสียหายของพอร์ทลงหรือจำกัดความเสี่ยงมากกว่า
สรุปแล้วการออกแบบกลยุทธ์ Options ควรเริ่มดูจากแนวโน้มของตลาดก่อนว่าอยู่ทิศทางใด เพื่อที่จะได้ใช้วิธีและเครื่องมือได้อย่างถูกต้อง ส่วนปัจจัยเรื่อง Time Decay นั้นอาจสำคัญมากสำหรับกลุ่มนักลงทุนที่เลือกถือระยะยาว แต่ถ้าเป็นนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรช่วงสั้นๆ ควรให้ความสำคัญกับปัจจัยเรื่อง Volatility มากกว่า เพราะปัจจัยนี้จะเป็นตัวกำหนดมูลค่าของ Options ที่คุณถืออยู่ ณ ตอนนี้ ตลอดจนใช้เป็นตัวแปรวิเคราะห์มูลค่าที่คาดการณ์ในอนาคตได้อีกด้วย และหากรู้ว่าผิดทางไม่จำเป็นต้องถือต่อ ควร Stop Loss และเริ่มต้นใช้กลยุทธ์อื่นๆ ตามความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการเล่น Spread หรือการเบิ้ลสัญญาโดยพิจารณาความเสี่ยงเป็นหลัก
เริ่มทบทวนดู VDO Series Options ตอนที่ #5 ออกแบบกลยุทธ์ Options
ดูรายละเอียดสินค้าใน SET50 Options เพิ่มเติมได้ที่
คอร์ดเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Options ฟรี!
หลักสูตร SET50 Options ฉบับมือใหม่ทั้งหมดได้ที่
หลักสูตร Options First Class ได้ที่
Options Workshop From Home ได้ที่