TFEX
5 Min Read

10 ข้อควรรู้ก่อนเปิดสถานะ Long SET50 Options

by TFEX
10 ข้อควรรู้ก่อนเปิดสถานะ Long SET50 Options

          ใครอยากที่จะเปิดสถานะ Long SET50 Options ฟังทางนี้! ทุกคนอาจสงสัยว่าจะต้องเตรียมตัวอะไร ต้องรู้ข้อมูลเรื่องไหนบ้าง เราจึงจะมาบอกถึงข้อควรรู้ต่างๆ เพื่อให้ทุกคนรู้ก่อน เพื่อที่จะได้เข้าใจ และเตรียมตัวเปิดสถานะได้ก่อนใคร
 

1. รู้ดัชนีอ้างอิง
          SET50 Options อ้างอิงดัชนี SET50 ซึ่งเป็นตัวแทนของแนวโน้มตลาดหุ้นไทย โดยคำนวณมาจากหุ้นขนาดใหญ่ 50 บริษัท ซึ่งการเปิดสถานะ Long นั่นหมายความว่าเรากำลังคาดการณ์ว่าภาพรวมเศรษฐกิจหรือหุ้นขนาดใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น

2. รู้ราคาซื้อสัญญาออปชั่น
          ออปชันถือเป็นเรื่องของการซื้อขายสิทธิ การเปิดสถานะ Long หรือก็คือการซื้อสิทธิ เปรียบเหมือนกับเราซื้อใบจอง หรือซื้อลอตเตอรี่นั่นเอง โดยราคาที่แสดงบนกระดานซื้อขายเราจะเรียกว่าค่าพรีเมี่ยม (Premium) ซึ่งค่าพรีเมี่ยมนี้จะเรียกหน่วยเป็นจุด และ 1 จุดมีมูลค่า 200 บาท (ตัวคูณดัชนี = 200) ดังนั้น หากเปิดสถานะ Long Call Options ที่ราคา 15 จุด นั่นหมายความว่าเราต้องชำระเงินค่าซื้อสิทธิ 15*200 = 3,000 บาท

3. รู้วันหมดอายุ
          สัญญาออปชั่นมีวันหมดอายุเป็นรายเดือน มีตั้งแต่เดือนมกราคม (F) กุมภาพันธ์ (G) มีนาคม (H) ไปจนถึงธันวาคม (Z) ซึ่งเราสามารถรู้ได้จากชื่อสัญญา (อ่านสัญลักษณ์เพิ่มเติมที่ http://bit.ly/36nBwGY) เช่น S50H20C1100 หมายถึง สิทธิซื้อดัชนี (S50) ที่ระดับราคา 1,100 (C1100) หมดอายุเดือนมีนาคม 2020 (H20) นั่นหมายความว่า หากเราซื้อ Long S50H20C1100 หากดัชนีขึ้นไม่ถึง 1100 ภายในเดือนมีนาคม แปลว่าเราคาดการณ์ผิด และจะไม่ได้ใช้สิทธิที่เราซื้อมา

4. รู้มูลค่าที่แท้จริงและมูลค่าทางเวลา
          ราคาของออปชันหรือค่าพรีเมี่ยม (Premium) แท้จริงแล้วประกอบด้วย มูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic Value) + มูลค่าทางเวลา (Time Value) เช่น ปัจจุบันดัชนี SET50 อยู่ที่ 1111 ขณะที่ S50H20C1100 มีราคา 12จุด เราคำนวณหาค่าออกมาได้ว่า เป็นมูลค่าที่แท้จริง 1111-1100 = 11 จุด และเป็นมูลค่าทางเวลา 12-11 = 1 จุด หรือในอีกกรณีหากดัชนีลดลงไปอยู่ที่ 1,075 แล้ว S50H20C1100 มีราคาลดลงเหลือ 9จุด เราจะคำนวณหาค่าออกมาได้ว่า มูลค่าที่แท้จริง 1,075-1,100 = -25 (มูลค่าที่แท้จริงมีค่าต่ำสุดได้แค่ 0 หรือไม่มีค่า) ดังนั้นราคาออปชันที่เหลือจึงเป็นมูลค่าทางเวลาเท่านั้น 9-0 = 9จุด (ถ้าถือไปจนหมดอายุ ก็ใช้สิทธิไม่ได้หรือสัญญาจะมีค่าเป็น 0 นั่นเอง)
 
5. รู้สถานะของออปชั่น
          จากการรู้มูลค่าที่แท้จริงของออปชั่น ทำให้เรารู้ว่าออปชันที่จะลงทุนมีสถานะเป็น ITM (In-the-Money) ราคาใช้สิทธิต่ำกว่าราคาดัชนีอ้างอิง หรือ ATM (At-the-Money) ราคาใช้สิทธิใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง หรือ OTM (Out-of-the-Money) ราคาใช้สิทธิสูงกว่าดัชนีอ้างอิง ดังนั้นการรู้สถานะของออปชั่นจึงทำให้เรารู้ว่ามีความเสี่ยงมากขนาดไหนสำหรับการลงทุน โดย ITM ผู้ซื้อมีความเสี่ยงต่ำสุด เพราะได้ใช้สิทธิแน่นอน ดังนั้นจึงต้องจ่ายค่าเบี้ย (พรีเมี่ยม) แพงที่สุด กลับกัน OTM ผู้ซื้อมีความเสี่ยงสูงที่สุด เพราะตอนนี้มูลค่าที่แท้จริงเป็นศูนย์ หากดัชนีไม่ขึ้นมาการถือออปชันจะทำให้ขาดทุนทั้งจำนวน ดังนั้นค่าพรีเมี่ยมจึงถูก (ยิ่งโอกาสใช้สิทธิน้อย ค่าพรีเมียมจะยิ่งถูก)

6. รู้โอกาสกำไรขาดทุน
          การที่ราคาออปชันจะเพิ่มขึ้นได้ แปลว่าดัชนีอ้างอิงต้องปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งสิทธิของออปชันมีทั้งที่เป็น ITM (In-the-Money), ATM (At-the-Money), OTM (Out-of-the-Money) ดังนั้นเมื่อดัชนีเพิ่มขึ้น 1จุด ไม่ได้แปลว่าราคาออปชั่นจะเพิ่มขึ้น 1จุดด้วย เพราะราคาที่ใช้สิทธิไม่เท่ากันจึงทำให้ราคาเพิ่มไม่เท่ากัน ซึ่งเราสามารถคำนวณอัตราการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ด้วยสูตร Black Scholes Model บนเว็บไซต์ http://bit.ly/2vaxsNt
         
หรือบน Settrade Streaming on PC สรุป หากเก็งว่าดัชนีจะขึ้น +10 จุด อาจต้องลองคำนวณว่า ออปชั่นตัวไหนที่ให้ผลตอบแทนเป็นไปตามเป้าหมายมากที่สุดเมื่อเทียบกับเงินลงทุน หรือกรณีถ้าถือไปแล้ว 3 วัน ดัชนียังไม่ขึ้น ราคาออปชั่นจะลดลงเท่าไหร่ เป็นต้น

7. รู้สภาพคล่อง
          การลงทุนในสินค้าที่มีสภาพคล่องสูง มีปริมาณ Bid-Offer เยอะ มี Volume ที่ Matched ไปแล้วเยอะ หรือมี OI (Open Interest) ที่ผู้ลงทุนถืออยู่เยอะ แสดงว่าสินค้ามีผู้สนใจมาก ราคามักจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว มีช่วงห่างของราคาไม่มาก เหมาะกับการซื้อๆขายๆ ดังนั้นหากสินค้าไม่มีสภาพคล่อง ผู้ลงทุนควรหลีกเลี่ยง หรือหากต้องการลงทุนจริงๆก็ต้องเข้าใจสภาวะตลาดก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วย

8. รู้จักสิทธิที่ได้มา
          ผู้ที่เปิดสถานะ Long Call Options ก็คือผู้ที่ได้สิทธิในการซื้อดัชนีอ้างอิง ณ ระดับราคาที่กำหนด โดยจ่ายเงินค่าพรีเมี่ยมแลกมา นั่นหมายความว่าเราสามารถเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิหรือไม่ก็ได้ ก็เหมือนกับตั๋วรถไฟ ใบจอง ฯลฯ หากมีกำไรหรือคุ้มค่าเราก็จะเลือกใช้สิทธิ แต่ถ้าผิดทาง หรือต้องจ่ายเงินเพิ่มมาก เราก็จะเลือกไม่ใช้สิทธิ ซึ่งแปลว่า Long Call Options จ่ายค่าพรีเมี่ยมไปแล้วก็จบ ค่อยลุ้นไปว่าจะมีกำไรหรือไม่ แต่หากผิดทางก็ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม
 
9. รู้ว่าเมื่อมีกำไรหรือขาดทุนจะทำอะไรได้บ้าง
          หากซื้อ Long Call Options แล้วหุ้นขึ้นจริง ราคาพรีเมี่ยมก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้น แปลว่าผู้ลงทุนจะมีกำไร ถ้าหากขายสิทธิที่ซื้อมานี้ ก็จะมีกำไรส่วนต่างจากตอนซื้อมา โดยเมื่อหุ้นขึ้น ราคาออปชั่นขึ้น ผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องลุ้นให้ขึ้นจนหมดอายุสัญญา แต่สามารถขายทำกำไรจากส่วนต่างค่าสิทธิที่ซื้อมานี้ได้เลย กลับกันถ้าหุ้นตก ราคาออปชั่นลดลง ผู้ลงทุนก็สามารถขายสิทธิทิ้งไป โดยอาจลดราคาลง อย่างน้อยก็ได้เงินคืนมาบางส่วน ดีกว่าถือไปจนหมดอายุแล้วไม่ได้ใช้สิทธิ กลายเป็นเสียเงินก้อนทั้งหมด

10. รู้ว่าเมื่อถือสัญญาไปจนหมดอายุจะเกิดอะไรขึ้น
          เฉพาะผู้ที่ถือสิทธิมีสถานะเป็น ITM (In-the-Money) หรือดัชนีอยู่สูงกว่าสิทธิที่ซื้อไว้ เท่านั้นที่จะมีกำไร เช่น ซื้อสิทธิ S50H20C1100 แล้วดัชนีปิด ณ วันสุดท้าย Final Settlement Price = 1,130 เราจะมีกำไร (1,130– 1,100)*200 = 20*200 = 4,000 บาท ซึ่งระบบจะช่วยคำนวณให้ผู้ลงทุนว่าสุดท้ายแล้วจะเหลือกำไรเท่าไหร่แล้วจะโอนเงินไปให้ในบัญชีผู้ลงทุนทันที
          แต่อย่าลืมว่าเราได้จ่ายค่าซื้อสิทธิ (พรีเมี่ยม) ไว้ก่อนแล้ว เช่น หากซื้อสิทธิไว้ตอน 10 จุด (10*200 = 2,000 บาท) การลงทุนครั้งนี้ก็จะมีกำไร แต่ถ้าหากซื้อสิทธิไว้ตอน 25 จุด (25*200 = 5,000 บาท) สุดท้ายการลงทุนครั้งนี้แม้จะได้กำไรจากส่วนต่างราคาใช้สิทธิ แต่ต้นทุนที่ซื้อมาทั้งหมดแล้วอาจทำให้การลงทุนครั้งนี้ติดลบได้

ดูรายละเอียดสินค้าใน SET50 Options เพิ่มเติมได้ที่ linkout

คอร์ดเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Options ฟรี!     
หลักสูตร SET50 Options ฉบับมือใหม่ทั้งหมดได้ที่ linkout
หลักสูตร Options First Class ได้ที่ linkout
Options Workshop From Home ได้ที่ linkout 


แท็กที่เกี่ยวข้อง: แนวคิดเทรด SET50 Options
บทความที่เกี่ยวข้อง