มองเรื่องความเสี่ยงและผลตอบแทน Stock และ Stock Futures
สายลงทุนระยะสั้น เน้นตามข่าว กินส่วนต่างราคา
สายนี้ชอบติดตามข่าวสาร ชอบการวิเคราะห์กราฟเทคนิค ชอบ Indicator ส่วนใหญ่ใช้ Timeframe ต่ำกว่า Day ในการหาจุดเข้าออก แนวคิด คือ ไม่ได้จะถือยาวแต่จะซื้อตามหุ้นที่กำลังมีแนวโน้มขึ้น เก็งข่าวดีกำลังมา เป็นต้น ถ้าหุ้นแกว่งตามกรอบขึ้นลงหลายรอบ จะมีโอกาสทำกำไรได้มาก ช่วงหุ้นขาลงเสี่ยงมาก เพราะต้องลุ้นเด้งอย่างเดียว เข้าไวออกไวเท่านั้น ออกช้าโดนกินรอบวง
สายลงทุนระยะยาว เน้นสร้างผลตอบแทนเงินปันผล และราคาที่สูงขึ้น
สายนี้ซื้อแล้วถือกันไปยาวๆ ชอบการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน มองแนวโน้มหลักให้ออกก่อนการตัดสินใจลงทุน มักเลือกเฉพาะหุ้นที่มีผลประกอบการดี ไม่เกี่ยงถ้าราคาจะแพง เพราะวิเคราะห์มาแล้วว่าจะไปต่อได้ก็จะซื้อเก็บ ในขณะที่ถ้าหุ้นตกจาก Panic Sale โดยพื้นฐานไม่ได้เปลี่ยนจะยิ่งชอบมาก เพราะกำลังจะได้ของดีที่ราคาถูกลง โดยหากราคาจะปรับลดลงจากจุดที่ซื้อ สายนี้มักคำนวณไว้ก่อนแล้ว เพราะต้องการสะสมตามเป้าหมาย ดังนั้น สิ่งที่ทำให้ทั้งสองสายได้กำไรก็คือ การที่หุ้นขึ้นแต่จะกำไรมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนหุ้นที่ซื้อหรือถือไว้นั่นเอง หน้าตักหรือเงินลงทุนที่แต่ละคนมีจะทำให้ได้จำนวนหุ้นที่ไม่เท่ากัน คนที่มีเงินเยอะ ไม่จำเป็นต้องลงทุนในหุ้นตัวเดียวทั้งหมด แต่จะกระจายความเสี่ยงไปที่หุ้นหลายตัว และเพื่อเป็นการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากหุ้นได้หลายตัวพร้อมกัน สำหรับคนที่มีเงินไม่เยอะมาก แล้วอยากลงทุนในหุ้นหลายตัวล่ะ ก็ต้องตัดใจเลือกหุ้นที่ดูดีที่สุด หรือไม่ก็ต้องรู้จักใช้เครื่องมืออย่าง Stock Futures เข้ามาช่วย เพราะ Stock Futures เป็นเครื่องมือลงทุนที่ราคาเคลื่อนไหวตามหุ้นแม่ โดย 1 สัญญา = 1,000 หุ้น แต่ใช้เงินลงทุนเพียงการวางประกันแค่เพียง 10-15% แปลว่า ถ้าเรามีเงินก้อนเดียวแล้วเอามาลงทุนผ่าน Stock Futures จะได้จำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น หรือเงินก้อนเดียวกันนี้อาจสามารถกระจายไปหุ้นหลายตัวพร้อมกันได้
การเอาเงินทั้งก้อนมาลงทุนใน Stock Futures ทั้งจำนวน เพียงเพื่อให้ได้จำนวนหุ้นเพิ่ม ถ้าถูกทางกำไรมากแน่นอน แต่ถ้าผิดทางจะขาดทุนมากได้เช่นกัน
สภาพคล่องเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ลงทุนต้องพิจารณาก่อนการลงทุน เพราะหากสภาพคล่องน้อย เมื่อปิดสถานะอาจได้กำไรหรือขาดทุนไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
ปล. หากมีเงินก้อนที่สามารถลงทุนในหุ้นได้ 1,000 หุ้น การไปลงทุนใน Futures จำนวน 1 สัญญา = 1,000 หุ้น (วางเงิน 100% เท่ากับการซื้อหุ้น 1,000 หุ้น) กำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจะเท่ากัน เพราะเกิดจากการคำนวณ (ราคาขาย-ราคาซื้อ) x จำนวนหุ้น
สรุป
ไม่ว่าจะลงทุนแบบไหนความเสี่ยงก็คือ การที่ราคาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ส่วนจะกำไร/ขาดทุนมากน้อยขึ้นกับจำนวนหุ้นที่ถือลงทุน
Stock Futures เป็นเพียงการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า จึงเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนปรับเงินที่วางไว้สำหรับลงทุนได้ โดยหากวางเงินเต็มจำนวนเท่ากับมูลค่าจริง ผลตอบแทนกำไรขาดทุนก็เท่ากับมูลค่าจริง นอกจากนี้ Stock Futures เปิดให้ทำสัญญาขายล่วงหน้า ผู้ลงทุนจึงสามารถทำกำไรขาลง หรือใช้ป้องกันความเสี่ยงหุ้นขาลงได้ด้วย