เริ่มที่สหรัฐฯ ก่อน
ประเด็นแรกการเปลี่ยนนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนตัวผู้นําธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มมีการ คาดการณ์ต่างๆ นานาว่า การกล่าวของนาง Janet Yellen ที่ Jackson Hole Symposium อาจเป็นการพูดครั้งสุดท้าย เนื่องจาก นาง Janet Yellen จะหมดวาระในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2561 และทรัมป์มีแผนที่จะเสนอนายแกรี่ โคห์น ขึ้นดำรง ตำแหน่งแทนในปี 2561 ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อํานวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐฯหรือ NEC และเคยเป็นประธานบริษัท Goldman Sachs เหตุที่นาง Janet Yellen อาจไม่ได้ดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2 เพราะมีนโนยายขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งขัดกับ นโยบายทางการคลังของทรัมป์ที่ลดภาษี ทำให้เกิดนโยบายการเงินและการคลังที่ไม่สอดคล้องกันเป็นอย่างมาก และ ผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น ในvณะที่การลดภาษีของทรัมป์เป็นการลดต้นทุนของผู้ผลิต ส่ง ให้มาตการทางคลังสหรัฐฯ ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
มองประเด็นแรกจะเป็นผลดีต่อราคาทองคํา เนื่องจากการไม่ขึ้นดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์จะไม่แข็งค่ามาก
สองการเดินหน้านโยบายลดภาษีของทรัมป์ โดย นายพอล ไรอัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าการผลักดัน มาตรการดังกล่าวมีความง่ายกว่าการปฏิรูประบบประกันสุขภาพ หลังจากพรรครีพับลิกันสามารถบรรลุข้อตกลงเบื้องต้น ปัจจัยดังกล่าวทำให้ประชาชนสหรัฐฯ มองว่าจะเป็นผลดีต่อพวกเขา เพราะมีเงินในมือเพิ่มขึ้น หรืออาจนับเป็นเงินออมที่ เพิ่มขึ้น แต่สำหรับเรากลับมองต่างกัน เนื่องจากมาตรการดังกล่าวรัฐบาลสหรัฐฯหวังว่าจะกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งการที่ประชาชนสหรัฐฯมองเป็นเงินออมที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้ลดลง และแนวโน้มที่ต้องใช้ นโยบายงบประมาณขาดดุลมากกว่า หมายความว่ารัฐต้องกู้เงินมาใช้มากขึ้นนั้นเอง
ประเด็นที่สองจะเป็นผลลบต่อทองคําในระยะสั้น แต่ในระยะยาวทำให้เพดานหนี้เพิ่มสูงขึ้นเป็นผลดีต่อทองคํา
ในประเด็นที่สามคือ เสี่ยงที่จะเกิด US Government Shutdown โดย ทรัมป์ที่ขู่ว่าจะปล่อยให้หน่วยงานรัฐปิด การดําเนินงาน หากสภาคองเกรสไม่อนุมัติงบประมาณสำหรับการสร้างกําแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯและเม็กซิโก และหากที่ สหรัฐฯยังไม่สามารถผ่านร่างขยายเพดานหนี้ก่อน ก.ย. อาจทำให้ US Government Shutdown และฟิกซ์เรทติ้งส์ ลดอันดับความเชื่อถือของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ใน AAA ไปอยู่ AA แทน
แล้วการเกิด US Government Shutdown จะกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างไร
• การปิดทำการของภาครัฐหนึ่งวันจะทำให้เสียเงินราว 300 ล้านดอลลาร์
• ราชการอย่างน้อย 800,000 คน ต้องหยุดงาน
ส่วนเรื่องจีน
"IMF เตือนจีนหนี้พุ่ง"
การที่ IMF เตือนว่าจีนกําลังมีหนี้พุ่งสูง หมายถึงหนี้ภาคเอกชนของจีนที่สูงอย่างน่ากลัว แล้วทำไม IMF ถึงต้องกังวล เพราะ IMF คาดการณ์ว่าสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ในปี 2565 ของจีนจะแตะที่ 300% หรือมากกว่า 28 ล้านล้านดอลลาร์ โดยตอนนี้มูลค่า GDP 9.51 ล้านล้านดอลลาร์ โดยการสร้างหนี้ดังกล่าวอาจทำให้จีนต้องเจอกับวิกฤตทางการเงินในวัน ข้างหน้า
แล้วทำไมหนี้ภาคเอกชนของจีนถึงสูงอย่างน่ากลัว? เนื่องจากจีนมีกลยุทธ์ใช้การปล่อยสินเชื่อให้กับภาคเอกชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจีน โดยเงินกู้ที่ลงไปในภาคเอกชน จะไปต่อ ในด้านอสังหาริมทรัพย์ และเป็นปัจจัยพยุง GDP ของจีนให้ยังอยู่ที่ 6% ขึ้นไป
โดยปัจจัยดังกล่าวเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจจีน และเศรษฐกิจโลกอาจทำให้เป็นผลลบต่อตลาดหุ้น แต่บวกต่อราคา ทองคํา ทั้งนี้ยังเป็นผลกระทบในทางลบต่อเศรษฐกิจไทยอีกด้วย เพราะการที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัว หรืออาจสะดุดจะทำให้กําลังซื้อของพี่จีนลด ซึ่งประเทศไทยมีการส่งออกไปจีนเป็นอันดับ 2 สองปีซ้อน ทั้งนี้ประเทศไทยมีรายได้หลักจากการ ส่งออก ถึงตอนนี้เริ่มเห็นภาพกันมากขึ้นแล้วนะครับ
แต่ที่น่าตลก คือ IMF มาเตือนจีน แต่กลับไม่ไปเตือนสหรัฐฯที่ตอนนี้ มีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 19.9 ล้านล้าน และสภาสหรัฐฯยัง ไม่ให้เพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งทำให้สหรัฐฯมีงบประมาณจํากัดใช้ได้ถึงเดือน กันยายน ปี 2017 เท่านั้น เรื่องนี้ก็น่าคิดว่าเมื่อไหร่ IMF จะเดือนสักที หากมีการเตือนเกิดขึ้นคงได้เห็นการเทขายหุ้นสหรัฐฯในวันนั้นอย่างแน่นอน
ดูรายละเอียดสินค้า Gold Online Futures เพิ่มเติมได้ที่
ดูรายละเอียดสินค้า Gold Futures เพิ่มเติมได้ที่
ดูรายละเอียดสินค้า Gold-D เพิ่มเติมได้ที่