แนวคิดการบริหารเงินลงทุน
1. Position Sizing
กำหนดเม็ดเงินลงทุน แม้ว่าฝั่งซื้อออปชันจะจำกัดการขาดทุน เพื่อลุ้นผลตอบแทนแบบไม่จำกัดโดยสามารถเลือกระดับราคาใช้สิทธิได้ ยิ่งสิทธิมีโอกาสชนะมากออปชันจะมีราคาสูงตามไปด้วย กลับกันยิ่งสิทธิที่มีโอกาสชนะน้อยออปชันจะมีราคาถูกลง แต่ถ้าลงทุนแล้วผิดทางสิทธิที่ซื้อไว้ไม่ได้ใช้ ก็เท่ากับขาดทุนทั้งจำนวน ดังนั้นการลงทุนควรต้องกำหนดวงเงินที่ต้องการลงทุนให้ชัดเจน แบ่งสัดส่วนหรือแบ่งไม้ชัดเจนว่าจะลงทุนครั้งละเท่าไหร่ รวมทั้งควรพิจารณาเลือกจากโอกาสชนะมากกว่าราคาที่ถูก ในขณะที่ฝั่งขายออปชัน ผู้ขายจะมีภาระผูกพันต้องกันเงินสำหรับกรณีถูกใช้สิทธิ ดังนั้นจึงต้องมีการวางเงินประกันบางส่วน (Margin) ซึ่งหากคิดจากมูลค่าที่แท้จริง ผู้ขายควรวางเงินมากกว่าระดับประกันขั้นต้น โดยอาจวางใกล้มูลค่าที่แท้จริงเพื่อลดอัตราทดไม่ให้มากเกินไป
2. Risk Control
กำหนดระดับเม็ดเงินลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เราทราบดีอยู่แล้วว่าไม่ควรใส่ไข่ในตระกร้าใบเดียวกัน ไม่ควรเสี่ยงใช้เงินทั้งหมดไปกับการลงทุนครั้งเดียว (No All in) และไม่ควรเปิดสถานะที่ใหญ่กว่าเงินลงทุน (No Overtrade) ออปชันเป็นเรื่องการซื้อสิทธิ หากเราซื้อสิทธิมาเยอะแยะแล้วไม่ได้ใช้สิทธิเลย เท่ากับว่าเราสูญเงินต้นไปทั้งจำนวน เช่นกันในกรณีผู้ขายสิทธิ หากราคามีแนวโน้มปรับเพิ่มจนทำให้เราขาดทุน แม้ว่าเราจะคิดดีแล้วว่ามีโอกาสทำกำไรได้ แต่หากสถานการณ์ไม่เป็นใจก็ต้องยอมรับขาดทุน เพื่อป้องกันไม่ให้ขาดทุนมากเกินกว่าที่วางแผนไว้ ดังนั้น ผู้ลงทุนในออปชันก็ควรต้องตั้ง Stop Loss ในทุกการลงทุนด้วยเช่นกัน
3. Risk Reward Ratio
กำหนดจุดเข้าออกพิจารณาความคุ้มค่า เป็นไปได้ยากที่เราจะซื้อได้ที่จุดต่ำสุดและขายได้ที่จุดสูงสุด เราจึงควรต้องพิจารณาวางแผนในทุกไม้การลงทุน การพิจารณาจุดเข้า (Entry Point) เทียบกับจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ทำให้เราเห็นความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่จุดเข้า (Entry Point) เทียบกับจุดทำกำไร (Exit Point) จะทำให้เราเห็นโอกาส ซึ่งเราควรพิจารณาระดับ Risk to Reward เลือกสถานการณ์ที่ดูคุ้มค่า เลือกอายุของสัญญาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น หากเป็นการเก็งกำไรระยะสั้นๆ นอกจากมองความคุ้มค่าแล้วต้องเลือกสัญญาที่มีสภาพคล่องด้วย เพื่อให้เมื่อถึงเวลาขายจะสามารถขายได้ราคาตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังอาจเลือกระดับราคาเปิดสถานะฝั่งซื้อที่ไม่แพงเกินไป (พิจารณาจาก Implied Volatility) และรู้จักทำกำไรเมื่อระดับราคาถึงเป้าหมาย
4. Emotional Control & Discipline
"การมีวินัย" และ "การควบคุมอารมณ์" ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลอย่างมากต่อความสำเร็จของผู้ลงทุน การมีวินัยหมายถึงการยึดมั่นในแผนการลงทุนที่วางไว้ และทำตามกลยุทธ์อย่างสม่ำเสมอ โดยไม่หวั่นไหวไปตามสภาะตลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจที่ไม่เป็นระบบ ในขณะที่การควบคุมอารมณ์จะช่วยให้ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ความกลัว ความโลภ ความตื่นตระหนก ความมั่นใจเกินเหตุ อาจทำให้เราเร่งรีบเกินไป ไม่ได้วิเคราะห์สถานการณ์ หรือประเมินความเสี่ยงให้ดีก่อนตัดสินใจ ดังนั้นการมีทั้งวินัยและการควบคุมอารมณ์จะช่วยให้การบริหารเงินลงทุนมีเสถียรภาพ ปลอดภัย และมีโอกาสเติบโตในระยะยาว
5. Monitor and Evaluation
เมื่อเปิดสถานะแล้ว เราควรต้องติดตามผลการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และพร้อมปรับกลยุทธ์หากตลาดมีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบ หรือมีการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน การคลังและการค้าของประเทศคู่ค้าขนาดใหญ่ การปรับเปลี่ยนนโยบายภาครัฐซึ่งอาจกระทบหุ้นส่วนใหญ่ในดัชนี อุบัติภัยทางธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ออปชั่นที่ลงทุนไว้เคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ ดังนั้นเราอาจต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งหรือกลยุทธ์ใหม่เพื่อป้องกันการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น